บันทึกการเข้าเรียนครั้งที่ 2
-วันนี้อาจารย์สอนเกี่ยวกับเรื่องความต้องการของเด็กพิเศษ
*ความหมาย
*ประเภท
สรุปเนื้อหาที่เรียนทั้งหมด
1.ความหมายของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
ทางการแพทย์ มักจะเรียกเด็กที่มีความต้องการพิเศษเหล่านี้ว่า "เด็กพิการ" เด็กที่มีความผิดปกติ มีความบกพร่อง สูญเสียสมรรถภาพ อาจเป็นความผิดปกติ ความบกพร่องทางกาย การสูญเสียสมรรถภาพทางสติปัญญา ทางจิตใจ
ทางการศึกษา เด็กที่มีความต้องการทางการศึกษาเฉพาะของตัวเอง ซึ่งจำเป็นต้องจัดการศึกษาให้ต่างไปจากเด็กปกติทางด้านเนื้อหาหลักสูตรกระบวนการที่ใช้และการประเมินผล
สรุปได้ว่าเด็กที่มีความต้องการพิเศษ หมายถึง
-เด็กที่ไม่อาจ พัฒนาความสามารถได้เท่าที่ควรจากการให้การช่วยเหลือและการสอนตามปกติ
-มีสาเหตุ จากสภาพความ บกพร่องทางร่างกาย สติปัญญา และอารมณ์
- จำเป็นต้องได้รับการกระตุ้น ช่วยเหลือการบำบัดและฟื้นฟู
-จัดการเรียนการสอนที่เหมาะกับลักษณะ และความต้องการของเด็ก
All Children Can Learn เด็กทุกคนสามารถเรียนรู้ได้
2.ประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่คือ
2.1 กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความสามารถสูง หรือมีความเป็นเลิศทางสติปัญญา ซึ่งเรียก โดยทั่ว ๆ ไปว่า "เด็กปัญญาเลิศ"
กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่สามารถพัฒนาตนเองได้ดี เพราะเป็นผู้ที่มี
ความสามารถทางสติปัญญา และ/หรือความถนัดเฉพาะทาง เมื่อเทียบกับระดับพัฒนาการในด้าน ต่าง ๆ กับเกณฑ์เฉลี่ยของเด็กในช่วงอายุเดียวกันแล้วพบว่า สูงกว่าค่าเฉลี่ย หรือเร็วกว่าค่าเฉลี่ยที่ มีการก าหนดไว้ ทั้งในด้านการรับรู้ และความสามารถในการแก้ปัญหา ด้านปริมาณและคุณภาพ เมื่อท าการทดสอบระดับสติปัญญาจะพบว่าระดับสติปัญญาสูงกว่า 120 ขึ้นไป
2.2กลุ่มเด็กที่มีลักษณะทางความบกพร่อง ด้อยความสามารถ หรือมีปัญหา เด็กเหล่านี้ มักจะเรียนรู้ได้ช้า และมีปัญหาในการเรียนรู้ ตลอดจนการพัฒนาด้านต่าง ๆ เป็นไปได้ไม่เท่าเทียม กับเกณฑ์เฉลี่ยของเด็กเมื่อเทียบกับเด็กในช่วงระดับอายุเดียวกัน ดังนั้นการจะให้การศึกษา หรือ การจะพัฒนาเด็กกลุ่มนี้ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจ และให้การช่วยเหลือเป็นพิเศษตามความ เหมาะสม ซึ่งจำแนกได้เป็น 8 ประเภท คือ-เด็กบกพร่องทางสติปัญญา
-เด็กบกพร่องทางการได้ยิน
-เด็กบกพร่องทางการเห็น
-เด็กบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
-เด็กบกพร่องทางการพูดและภาษา
-พร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
-เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้
-เด็กออทิสติก
-เด็กพิการซ้อน
-(เด็กปัญญาเลิศ)
เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา (Children with Intellectual Disabilities)
เด็กที่มีระดับสติปัญญา หรือเชาว์ปัญญาต่ ากว่า เกณฑ์เฉลี่ยเมื่อเทียบเด็กในระดับอายุเดียวกัน มี 2 กลุ่ม คือ
1. เด็กเรียนช้า หมายถึง เด็กที่มีความสามารถในการเรียนล่าช้ากว่าเด็กปกติ จัดเป็นพวก ขาดทักษะในการเรียนรู้ หรือมีความบกพร่องทางสติปัญญาเพียงเล็กน้อย เด็กเหล่านี้จะมีระดับ สติปัญญา (IQ) ประมาณ 71-90
สาเหตุของการเรียนช้า
-ภายนอก
*เศรษฐกิจของครอบครัว
*การสร้างเสริมประสบการ์ให้แก่เด็ก
*สภาวะทางด้านอารมณ์ของคนในครอบครัว
*การเข้าเรียนไม่สม่ำเสมอ
*วิธีการสอนไม่มีประสิทธิภาพ
-ภายใน
*พฒนาการช้า
*การเจ็บป่วย
2. เด็กปัญญาอ่อน หมายถึง เด็กที่มีภาวะพัฒนาการของจิตใจหยุดชะงัก หรือเจริญไม่ เต็มที่ ซึ่งแสดงลักษณะเฉพาะ คือ มีระดับสติปัญญาต่ า มีความสามารถในการเรียนรู้น้อย มี พัฒนาการทางกายล่าช้าไม่เหมาะสมกับวัย มีความสามารถจ ากัดในการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อม และสังคม เด็กปัญญาอ่อนแบ่งตามระดับสติปัญญา (IQ) ได้ 4 กลุ่ม คือ
2.1 เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนักมาก มีระดับสติปัญญา (IQ) ต่ ากว่า 20 ลงไป ไม่ สามารถเรียนรู้ทักษะด้านต่าง ๆ ได้เลย ต้องการเฉพาะการดูแลรักษาพยาบาลเท่านั้น
2.2 เด็กปัญญาอ่อนขนาดหนัก มีระดับสติปัญญา (IQ) ระหว่าง 20-34 ไม่สามารถเรียน ได้ ต้องการเฉพาะการฝึกหัดการช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจ าวันเบื้องต้นง่าย ๆ
2.3 เด็กปัญญาอ่อนขนาดปานกลาง มีระดับสติปัญญา (IQ) ระหว่าง 35-49 พอที่จะ ฝึกอบรมและเรียนทักษะเบื้องต้นง่าย ๆ ได้ สามารถฝึกอาชีพ หรือท างานง่าย ๆ ที่ไม่ต้องใช้ความ ละเอียดละออได้ เรียกโดยทั่วไปว่า T.M.R (Trainable Mentally Retarded)
2.4 เด็กปัญญาอ่อนขนาดน้อย มีระดับสติปัญญา (IQ) ระหว่าง 50-70 กลุ่มนี้พอจะเรียน ในระดับประถมศึกษาได้ และสามารถฝึกอาชีพและงานง่าย ๆ ได้ เรียกโดยทั่ว ๆ ไปว่า E.M.R (Educable Mentally Retarded)
ลักษณะบางอย่างของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาที่พอสังเกตได้ ดังนี้ 1. พัฒนาการทางร่างกาย ภาษา อารมณ์ และสังคม เช่น การชันคอ การนั่ง การยืนการเดินทำ ได้ไม่สมกับวัย
2. ไม่พูด หรือพูดได้ไม่สมวัย
3. ช่วงความสนใจสั้น วอกแวก
4. ขาดความสนใจในสิ่งที่เฉพาะเจาะจง
5. ความคิด และอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย
6. อดทนต่อการรอคอยน้อย
7. ทำงานช้า
8. ทำอะไรรุนแรง ไม่มีเหตุผล ไม่ถูกกาลเทศะ
9. ความเข้าใจจากการฟังดีกว่าจากการอ่าน
10. การจำตัวอักษร หรือข้อความน้อยกว่าวัย
11. มักมีปัญหาทางการพูด
12. อวัยวะภายนอกบางส่วนมีรูปร่างผิดปกติ
13. กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
14. ไม่สามารถปรับตัวได้
15. ไม่สามารถช่วยตนเองได้ เมื่อเปรียบเทียบกับวัยเดียวกัน
16. ชอบเล่นกับเด็กที่มีอายุน้อยกว่า
เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน (Children with Hearing Impaired )
ผู้ที่มีความบกพร่อง หรือสูญเสียการได้ยิน เป็นเหตุให้ การรับฟังเสียงต่าง ๆ ได้ไม่ชัดเจน มี 2 ประเภท คือ
1. เด็กหูตึง หมายถึง ผู้ที่สูญเสียการได้ยินถึงขนาดที่ทำให้มีความยากลำบากจนไม่ สามารถเข้าใจคำ พูด และการสนทนา แต่ไม่ถึงกับหมดโอกาสที่จะเข้าใจภาษาพูดจากการได้ยิน ด้วยหูเพียงอย่างเดียว โดยไม่มี หรือมีเครื่องช่วยฟัง แบ่งตามระดับการได้ยิน ซึ่งอาศัยเกณฑ์การพิจารณาอัตราความบกพร่องของหู โดยใช้ค่าเฉลี่ยการได้ยินที่ความถี่ 500 , 1000 และ 2000 รอบ ต่อวินาที (เฮิร์ท : Hz) ในหูข้างที่ดีกว่า จำแนกได้ 4 กลุ่ม คือ
1.1 เด็กหูตึงระดับน้อย มีการได้ยินเฉลี่ยระหว่าง 26-40 เดซิเบล (dB) เด็กจะมีปัญหาใน การรับฟังเสียงเบา ๆ เช่น เสียงกระซิบ หรือเสียงจากที่ไกล ๆ
1.2 เด็กหูตึงระดับปานกลาง มีการได้ยินเฉลี่ยระหว่าง 41-55 เดซิเบล (dB) เด็กจะมี ปัญหาในการรับฟังเสียงพูดคุยที่ดังในระดับปกติที่มีระยะห่าง 3-5 ฟุต และไม่เห็นหน้าผู้พูด ดังนั้นเมื่อพูดคุยด้วยเสียงธรรมดาก็จะไม่ได้ยิน หรือได้ยินไม่ชัด จับใจความไม่ได้ และมีปัญหาใน การพูดเล็กน้อย เช่น พูดไม่ชัด ออกเสียงเพี้ยน พูดเสียเบา หรือเสียงผิดปกติ
1.3 เด็กหูตึงระดับมาก มีการได้ยินเฉลี่ยระหว่าง 56-70 เดซิเบล (dB) เด็กจะมีปัญหาใน การรับฟังและเข้าใจคำพูด เมื่อพูดคุยกันด้วยเสียงดังเต็มที่ก็ยังไม่ได้ยิน มีปัญหาในการรับฟังเสียง หลายเสียงพร้อมกัน มีพัฒนาการทางภาษาและการพูดช้ากว่าปกติ พูดไม่ชัด เสียงเพี้ยน บางคน ไม่พูด
1.4 เด็กหูตึงระดับรุนแรง มีการได้ยินเฉลี่ยระหว่าง 71-90 เดซิเบล (dB) เด็กจะมีปัญหาใน การรับฟังเสียงและการเข้าใจคำพูดอย่างมาก เด็กจะสามารถได้ยินเฉพาะเสียงที่ดังใกล้หูในระยะ 1 ฟุต การพูดคุยด้วยต้องตะโกนหรือใช้เครื่องขยายเสียงจึงจะได้ยิน เด็กจะมีปัญหาในการแยก เสียง เด็กมักพูดไม่ชัดและมีเสียงผิดปกติ บางคนไม่พูด
2. เด็กหูหนวก หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยินมากถึงขนาดที่ทำให้หมดโอกาสที่จะ เข้าใจภาษาพูดจากการได้ยินด้วยหูเพียงอย่างเดียว โดยไม่มี หรือมีเครื่องช่วยฟังจนเป็นเหตุให้ไม่ สามารถเข้าใจหรือใช้ภาษาพูดได้ หากไม่ได้รับการฝึกฝนเป็นพิเศษ ถ้าวัดระดับการได้ยินแล้วจะมี การได้ยินตั้งแต่ 91 เดซิเบล (dB) ขึ้นไป
ลักษณะบางอย่างของเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินที่พอสังเกตได้ มีดังนี้ 1. ไม่ตอบสนองเมื่อเรียก
2. มักตะแคงหูฟัง
3. ไม่พูด มักแสดงท่าทาง
4. พูดไม่ชัด เสียงผิดปกติ
5. พูดไม่ถูกหลักไวยากรณ์
6. พูดมีเสียงแปลก มักเปล่งเสียงสูง
7. พูดด้วยเสียงต่ า หรือด้วยเสียงที่ดังเกินความจำเป็น
8. เวลาฟังมักจะมองปากของผู้พูด หรือจ้องหน้าผู้พูด
9. รู้สึกไวต่อการสั่นสะเทือน และการเคลื่อนไหวรอบตัว
10. ไม่มีปฏิกิริยาต่อเสียงดัง เสียงพูด เสียงดนตรี หรือมีบ้างเป็นบางครั้ง
11. ไม่ชอบร้องเพลง ไม่ชอบฟังนิทาน แต่แสดงการตอบสนองอย่างสม่ำเสมอต่อเสียงดังใน ระดับที่เด็กได้ยิน
12. มักทำหน้าเด๋อเมื่อมีการพูดด้วย
13. ไม่พูดเมื่อมีสิ่งเร้าใจจากสภาพแวดล้อม
14. ซน ไม่มีสมาธิ
15. ไม่สามารถปฏิบัติตามคำสั่งได้
16. มีความลำบากในการอ่านหนังสือ
17. ไม่ตอบคำถาม
18. อาจมีปัญหาทางอารมณ์และสังคม
เด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็น (Children with Visual Impairments Children)
เด็กบกพร่องทางการเห็น หมายถึง ผู้ที่มองไม่เห็น หรือพอเห็นแสง เห็นเลือนลาง และมี ความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง โดยมีความสามารถในการเห็นได้ไม่ถึง 1/10 ของคนสายตาปกติ หลังจากที่ได้รับการรักษาและแก้ไขทางการแพทย์แล้ว หรือมีลานสายตากว้างไม่เกิน 30 องศา เด็กบกพร่องทางการเห็นจำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. เด็กตาบอด หมายถึง เด็กที่ไม่สามารถมองเห็นได้เลย หรืออาจมองเห็นบ้างไม่มากนัก ไม่สามารถใช้สายตา หรือไม่มีการใช้สายตาให้เป็นประโยชน์ในการเรียนการสอน หรือการทำกิจกรรมได้แต่จะต้องใช้ประสาทสัมผัสอื่นแทนในการเรียนรู้ และหากมีการทดสอบสายตาเด็ก ประเภทนี้จะพบว่า มีสายตาข้างดีสามารถมองเห็นได้ในระยะ 20/200 หรือน้อยกว่านั้น และมีลาน สายตาโดยเฉลี่ยอย่างสูงสุดจะแคบกว่า 5 องศา
2. เด็กตาบอดไม่สนิท หรือบอดบางส่วน สายตาเลือนลาง หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่อง ทางสายตา สามารถมองเห็นบ้างแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ เมื่อทดสอบสายตาเด็กประเภทนี้จะมี สายตาข้างดีสามารถมองเห็นได้ในระยะ 20/60 หรือน้อยกว่านั้น และมีลานสายตาโดยเฉลี่ยอย่าง สูงสุดจะกว้างสูงสุดจะกว้างไม่เกิน 30 องศา
ลักษณะบางอย่างของเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นที่พอสังเกตได้ มีดังนี้ 1. เดินงุ่มง่าม ชนและสะดุดวัตถุ
2. ไม่สนใจในสิ่งที่ต้องใช้สายตา เช่น การเล่นซ่อนหา
3. มองเห็นสีผิดไปจากปกติ
4. มักบ่นว่าปวดศรีษะ คลื่นไส้ ตาลาย คันตา มองเห็นเลือนลาง
5. ก้มศรีษะชิดกับงาน หรือของเล่นที่วางอยู่ตรงหน้า
6. ขาดความสนใจ เหม่อลอย
7. เพ่งตา หรี่ตา หรือปิดตาข้างหนึ่งเมื่อใช้สายตา
8. ตาและมือไม่สัมพันธ์กัน
9. ลำบากในเรื่องการใช้บันได ใส่กระดุม ผูกเชือกรองเท้า อ่านและเขียนหนังสือ
10. มีความลำบากในการจำและแยกแยะสิ่งที่เป็นรูปร่างทางเรขาคณิต
สิ่งที่ได้รับจากการเรียนรู้
คนทุกทนบนโลกนี้ไม่ควรมองข้ามกัน ไม่ควรมองคนที่พิการหรือมีความผืดปกติต่างๆเป็นคนประหลาดและเป็นปัญหาของสังคม เพราะคนเหล่านี้ไม่ได้ไปทำร้ายใคร เพียงแค่ต้องได้รับการช่วยเหลือจากสังคม ถ้าทุกคนดูแลเอาใจใส่ ส่วนถ้าเป็นเด็กถ้าเราค่อยๆสอน เด็กก็จะสามารถพัฒนาทักษะได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น